วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้ำยาเอนกประสงค์

น้ำยาล้างจาน คือสารชำระล้าง (detergent) ที่ใช้ช่วยในการล้างจาน มีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิว(surfactant) ที่มีการระคายเคืองต่ำ ประโยชน์หลักของน้ำยาล้างจานคือใช้ล้างภาชนะและเครื่องครัวด้วยมือหลังจากประกอบหรือรับประทานอาหารแล้ว น้ำยาล้างจานทำให้สิ่งสกปรกและไขมันหลุดจากภาชนะและรวมตัวเป็นอีมัลชัน (emulsion) อยู่ในน้ำหรือฟอง (foam) เนื่องจากโมเลกุลของน้ำยาล้างจานประกอบด้วยส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้วเช่นเดียวกับผงซักฟอก ส่วนที่มีขั้วจะจับกับโมเลกุลของน้ำ และส่วนที่ไม่มีขั้วจะจับกับสิ่งสกปรกให้หลุดออก ในสมัยก่อนมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สบู่ล้างจาน หรือ ครีมล้างจาน เนื่องจากเคยผลิตในรูปของสบู่และครีมมาก่อน ปัจจุบันน้ำยาล้างจานมีส่วนผสมอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น น้ำมะนาวหรือชา ซึ่งเชื่อว่าเป็นการช่วยให้ภาชนะสะอาดมากขึ้นและถนอมมือมากกว่าเดิม

[แก้]ข้อเสียของน้ำยาล้างจาน

ฟองของน้ำยาล้างจานเป็นสิ่งปิดกั้นบนผิวน้ำ ทำให้ออกซิเจนในอากาศละลายน้ำไม่ได้ และกั้นไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงไปใต้ผิวน้ำ พืชน้ำก็จะไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตในน้ำขาดออกซิเจนก็จะตายลง และเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงจะส่งผลทำให้น้ำเน่าเสีย นอกจากนั้น สารเคมีบางชนิดในน้ำยาล้างจานอาจเป็นอันตรายกับทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำ และยังอาจทำให้ผิวของเราระคายเคืองบ้างเล็กน้อย
                 น้ำยาล้างจาน น้ำยาเอนกประสงค์
                 สูตรอาจารย์พูนสวัสดิ์
ส่วนผสม 
  • N70 (หัวแชมพู)                     1     กิโลกรัม
  • F24 (สารขจัดคราบไขมัน)      1/2  กิโลกรัม
  • เกลือ                                    1-1.5 กิโลกรัม
วิธีทำ
  1. ต้มเกลือโดยใช้น้ำ 2-3 ลิตร จนเกลือละลายหมด ตั้งไว้จนเย็น
  2. เอา N 7O ผสมกับ F 24 กวนให้เข้ากัน ราว 10 นาที
  3. ค่อยๆเทน้ำเกลือลงไปทีละน้อยๆ แล้วกวนให้เข้ากัน จนหมด
  4. หลังจากนั้น เติมน้ำลงไปและกวนเรื่อยๆ โดยใช้น้ำประมาณ 10-15 ลิตร ทั้งนี้ให้สังเกตว่า ความข้นของน้ำยาอเนกประสงค์ หากยังข้นหรือเหนียวมาก ก็สามารถเติมน้ำเปล่า ลงไปได้อีก จนเห็นว่า ได้ความข้นที่เหมาะสม
  5. ใส่หัวน้ำหอม กวนให้เข้ากัน แล้วตั้งทิ้งไว้จนฟองยุบ(1 คืน) แล้วตักใส่ขวดเอาไว้ใช้
นอกจากนี้ อาจจะใช้น้ำผลไม้เปรี้ยว หรือน้ำหมักจากผลไม้เปรี้ยวทดแทนน้ำได้บ้าง
 ไม่ยากใช่มั๊ยครับ ตอนที่ผมทำผมใช้ส่วนผสมครึ่งหนึ่งของสูตรนี้ก็ได้น้ำยาล้างจานประมาณ 10 ลิตร ด้วยเงินลงทุน 55 บาท แจกคนในละแวกใกล้ๆ บ้านจนหมด ผลตอบรับที่กลับมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "ดีกว่าน้ำยาล้างจานยี่ห้อ..." ไม่พูดถึงนะครับว่ายี่ห้ออะไร
เห็นมั๊ยครับว่าถ้าสามารถทำเองได้ประหยัดกว่าซื้อตั้งเยอะ เรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงอย่าทำให้เป็นเรื่องยาก ถ้าอันไหนที่ทำแล้วสามารถพึ่งตัวเองได้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงแล้วครับ อีกอย่างคุณก็จะเป็น "คนมีน้ำยา"
ปล. สำหรับใครที่ทราบว่า N70, F24 มีชื่อเต็มๆ ว่าอย่างไรช่วยบอกผมหน่อยนะครับ ลืมถามอาจารย์ ค้นก็ไม่เจอ
                                                             สูตรที่2
วัสดุอุปกรณ์
1. หัวเชื้อน้ำยา (N 70) 1 กิโลกรัม
2. สมุนไพรรสเปรี้ยว 3 กิโลกรัม (สับปะรด มะกรูด มะนาว ฯ)
3. เกลือ / ผงข้น 1 กิโลกรัม
4. น้ำสะอาด 10 กิโลกรัม

*** ภาชนะที่ใช้กวนน้ำยาควรเป็นภาชนะก้นเรียบ เช่น กาละมัง ถังสี เป็นต้น ไม้พายควรมีขนาดยาวถึงก้นภาชนะเพื่อจะได้ง่ายต่อการกวน

ขั้นตอน / วิธีทำ
1. ล้างมะนาว มะกรูด และสับปะรดให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วต้ม กรองเอาแต่น้ำ 3 กิโลกรัมผสมน้ำสะอาด 10 กิโลกรัม จะได้น้ำสมุนไพร 13 กิโลกรัม (หากอยากให้มีสีเหลืองใส่ขมิ้นในน้ำต้มสมุนไพรไปด้วย 1 ขีด)
2. นำ N 70 จำนวน 1 กิโลกรัมใส่ถังก้นเรียบ ค่อยๆ รินน้ำสมุนไพรใส่ถัง ใช้พายไม้กวนน้ำสมุนไพรให้ผสมเข้ากันกับ N 70 โดยกวนไปทางเดียวกันตลอดในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟองมากโดยกวนประมาณ 15 นาที จนมีเนื้อเป็นสีขาวครีม
3. จากนั้นค่อยๆ เทน้ำสมุนไพรลงไปในถังในระหว่างที่กวน โดยโรยเกลือป่นลงไปด้วยเป็นระยะพร้อมๆ กัน จำนวน 1 กิโลกรัม คนให้เข้ากันจนเป็นสีขาวนวล 
4. ตั้งทิ้งไว้ 6 ชั่วโมง ก่อนนำไปใช้งาน (หรือทิ้งไว้ 1 คืน)
5. จากนั้นนำไปใช้ล้างจาน ล้างคราบสกปรกต่างๆ ได้เลยค่ะ
                                                                                       สูตรที่3
น้ำยาล้างจาน
ส่วนผสม
                1. เอ็น  70       1     กก.         คุณสมบัติ       ชำระล้าง
                2. เอฟ   24      1     กก.         คุณสมบัติ        เพิ่มความเข้มข้นในการทำความสะอาด
                3. กรดมะนาว 1  ขีด             คุณสมบัติ        ปรับค่าความเป็นด่าง
          4. ผงฟอง      2  ขีด               คุณสมบัติ         เพิ่มฟอง
                5. น้ำหอม  25  ซีซี                คุณสมบัติ        เพิ่มความหอม
                6. สีผสมอาหาร                     คุณสมบัติ        เพิ่มความสวยงามและแยกประเภทน้ำยา
                7. เกลือ        1      กก.
                8. น้ำสะอาด    14   ลิตร
การเตรียมสวนผสม
                1. นำเกลือที่เตรียมไว้  1  กก.  ผสมในน้ำ  3   ลิตร (แบ่งจากที่เตรียมไว้  14  ลิตร )เมื่อเกลือละลายหมดแล้ว  ให้เตรียมมาใช้เพียง 2  ลิตร กับ  1  แก้วน้ำดื่มเท่านั้น น้ำเกลือที่เหลือเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่อไป
                2. ละลายผงฟอง  ในน้ำ  1  ลิตร (แบ่งจากที่เตรียมไว้  14  ลิตร ) แล้วพักไว้ให้ผงฟองละลาย
ขั้นตอนการทำ
                1. กวน เอ็ม  70  ให้เนื้อขาวเนียนเหมือนครีมหน้าขนมเค้ก  จากนั้นเติมน้ำเกลือลงไปก่อน  1  แก้วน้ำดื่ม กวนให้เข้ากัน
                2. เติม  เอฟ   24  แล้วกวนให้เข้ากัน
                3. จากนั้นเติมกรดมะนาว    สีผสมอาหาร    น้ำหอม   และน้ำสะอาดที่ละนิด   จนหมด   คนให้เข้ากัน
                4. แล้วเติมผงฟอง  ที่เตรียมไว้  กวนให้เข้ากัน   แล้ว
5. เติมน้ำเกลือที่เหลือ 2  ลิตร  กวนให้เข้ากันจากนั้นพักไว้ ประมาณ   8  ชั่วโมงฟองยุบก็นำมาใช้ได้เลย

ไม้ไผ่สร้างอาชีพ

ผลิตภัณฑ์จักสานจากไม้ไผ

เงินลงทุน 

          ประมาณ 5,000-10,000 บาท

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์

          จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ชัยนาท จันทบุรี 
อุปกรณ์ 
          ไม้ไผ่ มีดขนาดต่างๆ เช่น มีดสำหรับผ่า มีดจักตอก ฯลฯ สว่านแบบมือหมุน เลื่อย ปากคีบแบบหุ่น
รายได้ 
          ประมาณ 8,000-15,000 บาท/เดือน
วิธีดำเนินการ 
          1. หาแหล่งที่จะซื้อไม้ไผ่ที่แปรรูปแล้ว และยังไม่แปรรูป

          2. ควรได้ศึกษาถึงชนิดการใช้งานของไม้ไผ่ชนิดต่างๆเนื่องจากไม้ไผ่แต่ละชนิดมีคุณ ลักษณะแตกต่างกัน เช่น
               -ไผ่สีสุก มีเนื้อหนา เหนียวทนทาน จึงเหมาะที่จะนำไปทำเครื่องจักสานประเภทเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือประมง
               -ไผ่นวล มีเนื้ออ่อนค่อนข้างเหนียว เหมาะที่จะนำไปทำเครื่องจักสานชนิดที่ต้องการความละเอียด เนื่องจากสามารถจักตอกให้เป็นเส้นเล็กบางได้
               -ไผ่รวกดำ ลำต้นแข็งแรงทนทาน ใช้ทำโครงร่ม โครงพัดสานเข่ง
               -ไผ่ข้าวหลาม เป็นไผ่เนื้อค่อนข้างบางใช้ทำกระบอกข้าวหลาม เครื่องจักสาน
               -ไผ่เฮี๊ยะ เป็นไม้ไผ่ขนาดกลาง ใช้ทำเครื่องจักสาน โครงสร้างอาคาร

          3. เตรียมไม้ไผ่เพื่อนำมาจักสาน ควรเป็นไผ่ที่มีอายุ 2-4 ปี ซึ่งเนื้อไม้จะมีความเหนียวกำลังดี ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและต้องเลือกดูไม้ที่ไม่มีแมลง แต่อย่างไรก็ดีควรจะต้มหรือผ่านกรรมวิธีป้องกันเชื้อราและมอดเสียก่อน (ไม้ไผ่ที่นิยมนำมาใช้ในการจักสาน ได้แก่ ไผ่เลี้ยง ไผ่สีสุก ไผ่เฮี๊ยะ ไผ่ลำมะลอก ไผ่รวก เป็นต้น) จากนั้นจึงนำไปตัด ซึ่งต้องตัดให้มีความยาวตามขนาดผลิตภัณฑ์ที่จะสานแล้วนำไปริดข้อ ซึ่งต้องระวังอย่าริดให้ลึกจนเกิดรอยแผลที่ผิวไม้ไผ่ และขั้นตอนสุดท้าย คือ ขูดผิวไม้ไผ่ เพื่อการย้อม/ทาสี หลังจากขูดแล้ว ใช้กระดาษทรายเบอร์ 0 ขัดให้เรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง

          4. การย้อมและการทาสีไม้ไผ่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เครื่องจักสานดูสวยงาม น่าใช้ ซึ่งก่อนที่จะทำการย้อมสี จะต้องเอาน้ำมันออกจากเนื้อไม้เสียก่อน โดยการต้มไม้ไผ่ในน้ำโซดาไฟหรือโซเดียมคาร์บอเนต ขนาด 0.2% นานประมาณ 3-4 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด และอบให้แห้งสนิทจากนั้นนำไม้ไผ่ลงต้มกับสีที่ละลายน้ำแล้ว ประมาณ 20-60 นาที อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ซึ่งขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีทาด้วยสีน้ำมันแลคเกอร์หรือน้ำมันวานิชแทน

          5. ติดต่อตลาดจำหน่าย ซึ่งโดยปกติจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้าน หรือบางครั้งจะรับสั่งทำตามที่ลูกค้าต้องการหรืออาจจะนำไปขายเองก็ได้

          6. ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบของเครื่องจักรสานให้ทันสมัยเป็นที่ถูกตาต้องใจของลูกค้าทุกวัยเพราะบางครั้งลูกค้าซึ่งมีความเข้าใจว่าเครื่องจักสานเป็นสินค้าที่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น
สถานที่ฝึกอบรม 
          1. สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 02-245-2655,245-4741
          2. ในส่วนภูมิภาคที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม 11 ศูนย์ ดังนี้ เชียงใหม่ พิษณุโลก พิจิตร อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชลบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา
          3. อุตสาหกรรมจังหวัด (ส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรม) ทุกจังหวัด
ข้อแนะนำ 
          การย้อมสีให้ติดดีนั้น ให้ขูดผิวไม้ไผ่อย่างแผ่วๆ ด้วยมีดเสียก่อน และถ้าจะให้สีเด่นให้นำไม้ไผ่ลงแช่ในกรดแทนนิค แอซิค ชนิด 4-6 เป็นเวลา 3 ชั่วโมง หรือแช่ในน้ำยาทาอีเมติคชนิด 1-2 เป็นเวลา 30 นาที


ประวัติไม้ไผ่
ไผ่ เป็นไม้พุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae (เดิมคือ Gramineae) วงศ์ย่อยBambusoideae เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้องๆ เช่น ไผ่จีน (Arundinaria suberectaMunro) ไผ่ป่า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผ่สีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeanaSchult.) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผ่ดำ (Phyllostachys nigra Munro).
ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนไทย นิยมทานกันมากในเกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากนี้ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด ดังนั้นจึงยังได้รับความนิยมในการทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท ใช้ชะลอน้ำที่เข้าป่าชายเลน นั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น

[แก้]สกุล

ไผ่ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 90 สกุล และ 1,000 ชนิด. ที่รู้จักกันแพร่หลาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในสกุล ต่อไปนี้
  • Arundinaria
  • Bambusa
  • Chimonobambusa
  • Chusquea
  • Dendrocalamus
  • Drepanostachyum
  • Guadua angustifolia
  • Hibanobambusa
  • Indocalamus
  • Otatea
  • Phyllostachys
  • Pleioblastus
  • Pseudosasa
  • Sasa
  • Sasaella
  • Sasamorpha
  • Semiarundinaria
  • Shibataea
  • Sinarundinaria
  • Sinobambusa
  • Thamnocalamus

[แก้]ไผ่ในประเทศไทย

ในประเทศไทยนั้น พบไผ่อยู่ 30 ชนิด ดังนี้[1]